การอ่านข้อมูล Traffic Website เป็นที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะสายการตลาดในยุคสมัยนี้ เครื่องมือที่นิยมใช้ในยุคนี้คงเป็น Google Analytics 4 ที่ใช้สำหรับการอ่านข้อมูลเว็บไซต์ทั้งประเภทของการเข้าเว็บไซต์ รวมถึงพฤติกรรมผู้ใช้งานที่เกิดขึ้นภายในเว็บไซต์ อย่างไรก็ตาม การมีเว็บไซต์ไม่มีประโยชน์หากไม่มีผู้เข้าชม ดังนั้นเรื่องการเพิ่มอัตราการเข้าชมเว็บไซต์หรือ Website Traffic จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรให้ความสำคัญอย่างมาก
Website Traffic คือการระบุช่องทางการเข้าถึงเว็บไซต์ของผู้ใช้งาน เป็นข้อมูลที่นักการตลาดมักจะนำมาใช้ในการประเมินประสิทธิภาพการทำงานของช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Marketing Campaign , Search Optimization และแม้กระทั่งการกดเข้าเว็บไซต์โดยตรง
โดยทั่วไปแล้วนักการตลาด จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า UTM ในการวัดผลการเข้าใช้งานเว็บไซต์ผ่านช่องทางที่กำหนดเอง เพื่อให้ได้รูปแบบข้อมูลตามที่วางแผนเอาไว้ ซึ่งบางครั้งผู้ใช้งานก็ไม่ได้เข้าเว็บไซต์เราผ่านช่องทางเดียวเท่านั้นอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับ UTM และทดลองเล่นได้ที่นี่
Default Channel Grouping คือ การจัดกลุ่มประเภทของการเข้าเว็บไซต์ ตามรูปแบบที่ Google กำหนดไว้ โดยจะช่องให้ผู้ใช้บริการ Google Analytics 4 สามารถดูข้อมูลแบบง่าย ๆ ได้ โดยไม่ต้องอาศัยการตีความจาก UTM ที่มีการตั้งค่าไว้จากระบบต้นทาง โดยจะแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อใหญ่ ตามนี้เลยครับ
Default Channel Grouping : แบ่งกลุ่มช่องทางการเข้าเว็บไซต์ โดยจะมีการแสดงค่านี้ในทุก Event ที่มีการส่งเข้า GA4
Session default channel group : แบ่งกลุ่มช่องทางการเข้าเว็บไซต์ เมื่อมีการเริ่มต้น Session ใหม่ โดยจะมี 1 ค่าต่อ 1 การเข้าใช้งาน (Session)
First user default channel group : แบ่งกลุ่มช่องทางการเข้าเว็บไซต์เมื่อมีการเข้าใช้งานครั้งแรก โดยจะมีแค่ 1 ค่าต่อ 1 ผู้ใช้งานเท่านั้น ใช้สำหรับการดูว่าผู้ใช้งานคนดังกล่าวเข้ามาเว็บไซต์ด้วยช่องทางใดเป็นช่องทางแรก
ทั้ง 3 รูปแบบมีการใช้งาน Attribution Model แตกต่างกัน โดย Default Channel Grouping จะใช้เป็น data-driven Attribution Model ส่วน Session default channel group และ First user default channel group จะใช้รูปแบบ Paid and organic channel last click (Last Click) ในการวัดผล คุณสามารถศึกษาเรื่อง Attribution Model ได้ที่นี่บทความเรื่อง GA4 Attribution Model
ข้อดี
- ช่วยในการจัดกลุ่มประเภทข้อมูลได้แบบอัตโนมัติ ตามรูปแบบที่ Google กำหนดไว้
- สามารถใช้ดูควบคู่กับค่าสถิติเว็บไซต์ได้ทันทีที่มีข้อมูลเข้า Google Analytics 4
ข้อเสีย
- หากเรามีการกำหนด UTM Structure เองก็จำเป็นจำต้องสร้าง Custom Channel Grouping เองภายหลัง
- Google จับช่องทางการโฆษณาของตัวเองผ่าน Source Platform ซึ่งเป็น UTM ตัวใหม่
- Google จับช่องทางการโฆษณาได้เฉพาะที่มีลักษณะ UTM ใกล้เคียงกับแพลตฟอร์มตัวเอง (CPC , PPC ,Paid etc.)
ต้องบอกว่าปัจจุบัน Google ได้แยกประเภทช่องทางที่เข้าเว็บไซต์ออกเป็นหลายรูปแบบ เยอะกว่าเมื่อก่อนตอนที่เรายังใช้ Universal Analytics กันมากๆ ในบทความนี้ผมจะของ Group หลายๆ ประเภทที่มีความคล้ายกันเข้าไปในก้อนเดียวกันเลยนะครับ แบ่งออกเป็น 6 รูปแบบ ส่วนเงื่อนไขของการจัดกลุ่มด้วย Google นั้นสามารถกดลิ้งค์เข้าไปดูที่ท้ายบทความได้เลยครับ เผื่อ Google มีการอัพเดทจะได้ตามทันครับ แปะลิ้งค์ไว้ให้แล้ว
Direct Traffic หมายถึงการเข้าใช้งานเว็บไซต์โดยตรง ไม่ผ่านการกดลิ้งค์จากเว็บไซต์อื่น ๆ หรือลิ้งค์ที่ UTM Parameter อยู่ใน URL อาจจะเป็นการกดจากบุ๊คมาร์ค หรือการคัดลอกลิ้งค์ไปวางบนช่อง URL ใน Browser ก็ได้
Direct Traffic เป็นสิ่งทีเจ้าของเว็บไซต์นั้นควรดีใจ เพราะมันหมายถึงการที่ผู้ใช้งานเข้าถึงเว็บไซต์คุณทันที โดยไม่ผ่านการค้นหาได้ อาจจะเรียกว่าเขานึกถึงคุณ แม้เวลาที่คุณไม่ปรากฎบน Google Search หน้าแรกก็ตาม ถ้าเป็น Brand ก็แปลว่าผู้ใช้งานนั้นมีความ Loyalty กับเว็บไซต์คุณพอสมควร
Organic Traffic หมายถึงการเข้าใช้งานผ่านค้นหาด้วย Search Engine ยกตัวอย่างเช่น Google , Bing , Yahoo เป็นต้น การทำให้หน้าเว็บไซต์ติดอันดับสูงสุด ในหน้าแรกจะทำให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาเว็บไซต์คุณด้วย คำค้นหาที่คุณใส่ลงไปได้ มีคนเคยกล่าวไว้ว่าถ้าคุณทำอะไรไม่ถูกต้อง ก็ให้คุณเอาไปซ่อนไว้หน้าที่ 2 ของ Google เพราะแทบจะไม่มีใครเปิดไปหน้าที่ 2 เพื่อหาข้อมูลเลย ทุกๆ อันดับจะมีอัตราการคลิกลดลงไปเรื่อย
บทเรียนเหล่านี้สามารถเรียนรู้ได้ผ่านเรื่อง SEO (Search Engine Optimization) ทั้งรูปแบบของการทำ Technical , Off-page และ On-Page โดยการทำ SEO นั้นจะใช้ระยะเวลา 2-6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการปรับปรุงเว็บไซต์และบทความของเราด้วย
เคสที่ผมเจอบ่อยสุดเรื่องการทำ SEO ที่ดีสำหรับสายเขียนโค้ด คือพวกคำถามที่มีคนสงสัยบ่อยๆ จะมีปริมาณ Search Volume ค่อนข้างเยอะมากๆ ต่อเดือน ทำให้เราสามารถเขียน People also asked ลงในบทความเพื่อให้ติดในหน้าแรกของ Google ได้ ตัวอย่าง stackoverflow.com ผมแทบจะไม่เคยเข้าหน้า homepage เลยด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ยังพบว่า Organic Traffic นั้นช่วยให้คนเข้าถึงเว็บไซต์ได้สูงสุด 76 % สำหรับธุรกิจแบบ B2B และ 53% สำหรับธุรกิจแบบ B2C
Paid Traffic หมายถึง การเข้าใช้งานเว็บไซต์โดยผ่านช่องทางการโฆษณาทั้งรูปแบบที่เป็น การค้นหา ,รูปภาพ วิดีโอ และ Rich Media ขึ้นอยู่กับการแยกซื้อโฆษณาในแพลตฟอร์มต่าง ๆ หากมีการซื้อโฆษณาของ Google ก็จะเป็นออกเป็น SEM , GDN , Youtube และ Shopping Ads เป็นต้น
ทั้งนี้การซื้อโฆษณาในรูปแบบออนไลน์ หรือออฟไลน์ เช่น Billboard เมื่อมีการทำ QR Code แล้วสแกนเข้าเว็บไซต์ก็สามารถจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้ได้เช่นกัน หากมี UTM Parameter ถูกต้องตามที่ Google กำหนดไว้ แต่โดยปกติแล้วเคสที่เป็น Offline มักจะไม่ค่อยให้ผลการตอบรับที่ดีเท่าไร ทั้งในแง่ของ Website Visit และ Conversion
Affiliates Traffic หมายถึง การเข้าใช้งานผ่านลิ้งค์ของบุคคลที่สาม ที่มีการรับค่าคอมมิชชั่นเมื่อเราซื้อสินค้า หรือสมัครใช้บริการบางอย่างในเว็บไซต์ โดยหลักแล้ว Affiliates มักจะถูกใช้ในการรีวิวสินค้าแบบปากต่อปากเป็นส่วนใหญ่ เมื่อผู้รีวิวเขียนเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้อ่าน ก็สามารถทำให้ผู้อ่านกดลิ้งค์เข้ามาที่เว็บไซต์ เพื่อซื้อสินค้า หรือสมัครใช้บริการบางอย่างในเว็บไซต์ ได้อย่างง่ายได้
หลักการทำงานของ Link Affiliate นั้นเข้าใจไม่ยาก แพลตฟอร์มหรือเว็บพาร์ทเนอร์ที่เราเข้าไปสมัครโปรแกรม Affiliate นั้นจะมีลิ้งค์เฉพาะเราให้นำไปส่งต่อให้ผู้ใช้งานคนอื่นๆ เมื่อมีการกดลิ้งค์เข้ามา ระบบก็จะทำการรับค่าผ่าน URL ในลิ้งค์ของเรา เป็นเก็บไว้ในประวัติผู้ใช้งาน กรณีมีการซื้อสินค้าหรือบริการก็จะทำการให้ส่วนแบ่งกับเจ้าของลิ้งค์ โดยที่ผู้ใช้งานไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
Referal Traffic หมายถึงการเข้าใช้งานเว็บไซต์ผ่านการกดลิ้งค์จากแหล่งที่มาอื่น ๆ นอกเหนือจากช่องทางทั้งหมดด้านบน การกดลิ้งค์เข้ามาจากเว็บไซต์อื่น ๆ หากเว็บไซต์ต้นทางมีความน่าเชื่อถือ และมีปริมาณ Traffic จำนวนมาก จะทำให้เว็บไซต์เรามีการจัดอันดับของ SEO ได้ดียิ่งขึ้นด้วย เราเรียกสิ่งนี้ว่า Backlink
ในทางกลับกัน การที่มีเว็บไซต์อื่น ๆ ลิ้งค์มาที่หน้าเพจของเรา หากเว็บนั้นมีความน่าเชื่อถือต่ำ (Authority Score) ก็จะไม่ได้ส่งผลต่อการจัดอันดับของ SEO ให้ดีขึ้น แถมจะทำให้งานของเรายากขึ้นด้วย เพราะเหตุนี้เราจึงควรเลือกเว็บพาร์ทเนอร์ที่จะลงเนื้อหาให้สอดคล้องกับเนื้อในหน้าเพจของเราด้วยเช่นกัน
SMS / Email / Notifications Traffic หมายถึงการเข้าใช้งานเว็บไซต์ผ่านการกดลิ้งค์บน SMS , Email Marketing หรือการส่งการแจ้งเตือนในแอพพลิเคชั่น วัตถุประสงค์ของการทำ Marketing Campaign ในลักษณะนี้แบ่งออกเป็น 2 แบบ ทั้งแบบของการหาผู้ใช้ใหม่ผ่านรายชื่อ, เบอร์โทร ที่ทางทีมการตลาดได้รับมา หรืออาจจะเป็นการทำ Personalized สำหรับกลุ่มผู้ใช้งานที่เข้าเงื่อนไขตรงกับวัตถุประสงค์ทางการตลาด เพื่อให้ผู้ใช้งานมีการเข้าใช้งานเว็บไซต์ แล้วซื้อสินค้า หรือสมัครใช้บริการบางอย่างในเว็บไซต์
โดยทั่วไปแล้วการทำ SMS หรือ Email marketing นั้นง่ายกว่าการทำ Notification เยอะมาก ๆ โดยเฉพาะ App notification ที่ต้องมีการส่งข้อมูลด้วย Firebase หรือ Customer Data Platform ตัวอื่น ๆ ที่พึ่งพาความรู้ด้านเทคโนโลยีสูง รวมถึงเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยเช่นกัน ดังนั้นการเลือกจะส่งข้อมูลในรูปแบบนี้ จะเหมาะกับคนที่มีความสนใจในเว็บไซต์ หรือผลิตภัณฑ์ของเราระดับนึง
ช่องทางการเข้าใช้งานเว็บไซต์นั้นบอกอะไรเราได้หลาย ๆ อย่างทั้งความเหมาะสมในการเลือกวางคอนเทนต์ในแพลตฟอร์มที่ถูกต้อง การปรับปรุงประสิทธิภาพโฆษณา และการสื่อสารกับผู้ใช้งานด้วยเนื้อหาที่สอดคล้องกัน จะทำให้ได้ประสิทธิภาพทั้งในด้าน User Experience ที่ดี และ Conversion ที่ดีตามลำดับ
การประเมินช่องทางการใช้งานของผู้ใช้งานเป็นสิ่งสำคัญที่นักการตลาดยุคปัจจุบันควรรู้ และนำไปปรับใช้ โดยเฉพาะการซื้อโฆษณาในรูปแบบต่างๆ เพื่อการวัดประสิทธิภาพทั้งขาเข้าเว็บไซต์ อย่างไรก็ตามข้อมูลบนเว็บไซต์นั้นบอกได้แค่ เว็บไซต์เราเป็นยังไง ช่องทางการโฆษณาของเราเหมาะสมมั้ย แต่หากต้องการรู้เหตุผลที่ชัดเจน น่าจะมีวิธีอื่น ๆ ที่ใช้ควบคู่กับไปได้ เช่น Indepth-Interview ,Usability test , A/B Testing แบบอื่น ๆ จะทำให้เราเข้าใจผู้ใช้งานมากขึ้น
Share your experience with this Blog